ในโลกของราชสำนักไทยที่ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเต็มไปด้วยความหมายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญและไม่มีสิ่งใดหายไปโดยไร้เหตุผลการกลับมาของเจ้าคุณพระศินีนาฏตินราชกัลยาณีไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมเสียงประกาศหรือขบวนราชรถหากแต่เกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบที่ดังกึกก้องความเงียบงั้นที่สะท้อนคำถามมากมายถึงสถานะของเธอในวังหลวงและอนาคตที่รออยู่เบื้องย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเรื่องราวของซินีน่าจะเคยเป็นข่าวใหญ่ระดับโลก
การแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะเจ้าคุณพระในพระราชสำนักเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายทศวรรษเสียงชื่นชมเสียงวิพากษ์และความสงสัยถ่าโถมเข้าใส่เธอพร้อมกันทั้งในฐานะสตรีคนพิเศษของในหลวงและในฐานะบุคคลที่ประชาชนยังไม่รู้จักดีพอแต่ไม่นานหลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงชื่อของเธอถูกถอดจากราชกิจจานุเบกษาโปรไฟล์อย่างเป็นทางการหายไปจากเว็บไซต์สื่อทั่วโลกลงข่าวการปลดพร้อมคำอธิบายที่ไม่มีรายละเอียดมากนักเธอหายไปจากสายตา
ประชาชนราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ในระบบราชสำนักมาก่อนนี่ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงสถานะแต่คือการลบทั้งชื่อเสียงและภาพลักษณ์และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของความเงียบที่เริ่มก่อตัวขึ้นรอบตัวซินีหน้าตะความเงียบที่เต็มไปด้วยคำถามทั้งจากประชาชนและจากผู้สังเกตการระหว่างประเทศบางคนเรียกเธอว่าเงาแห่งบัลลังก์บางคนมองว่าเธอคือหมากสำคัญในการเล่นเกมอำนาจที่ประชาชนไม่มีสิทธิ์รู้ความจริงทว่าในปีต่อมาซินีกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งทามกลาง
ภาพพิธีการทางราชการโดยไม่มีคำอธิบายไม่มีแถลงการณ์และไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการใดๆเธอกลับมาร่วมงานในฐานะเจ้าคุณพระดังเดิมเสมือนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นไม่เคยมีอยู่จริงและนั่นทำให้การกลับมาของเธอครั้งนี้เต็มไปด้วยคำถามมากกว่าคำตอบเธอกลับมาเพื่ออะไรใครเป็นผู้เปิดทางให้เธอกลับมาหรือเธอไม่เคยจากไปจริงๆบางคนกล่าวว่าในวังความเงียบคึกซื้อเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังที่สุดภาพของซินีน่าจะที่นั่งอยู่ในงานพระ
ราชพิธีอีกไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียวแต่อาจกำลังส่งสารบางอย่างที่สังคมยังไม่สามารถถอดรหัสได้เมื่อทุกอย่างรอบตัวเธอถูกจัดวางอย่างประณีตทั้งตำแหน่งในขบวนพายุยาตราการแต่งกายที่สะท้อนความจงรักภักดีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่เธอสวมใส่ทุกอย่างกลายเป็นสัญลักษณ์แทนถ้อยคำในโลกของราชราชวงศ์ไทยสัญลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่แต่งเติมความหมายแต่คือความหมายโดยตัวมันเองและเรื่องราวของเจ้าคุณพระศินีนาฏก็อาจเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของยุคสมัยใหม่ของ
ราชสำนักที่ยังคงเก่าแก่แต่กลับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาการเดินทางของเจ้าคุณพระศินีนาฏพิราชกัลยาณีไม่ใช่เพียงเรื่องของยศฐาบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งในราชสำนักแต่คือเส้นทางที่เต็มไปด้วยแรงดึงร้างจากหลายทิศทางและความเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันราวกับคลื่นสึนามีในทะเลแห่งอำนาจย้อนกลับไปในปี2562ชื่อของสินีนาฏปรากฏขึ้นอย่างเป็นทางการพร้อมกับพระราชโองการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคุณพระซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในราชวงศ์ยุคปัจจุบันเธอถูกยกย่องใน
ราชกิจจานุเบกสาวว่าเป็นผู้มีความสามารถทั้งด้านทหารการดินและการดูแลกิจการในวังชีวประวัติของเธอถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนพร้อมด้วยภาพถ่ายที่เต็มไปด้วยพลังและภาพลักษณ์ของสตรีเหล็กสำหรับหลายคนนี่คือการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของสตรีคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญในยุคสมัยของรัชกาลใหม่แต่สำหรับอีกหลายคนนี่คือจุดเริ่มต้นของความเปราะบางทางอำนาจภาพลักษณ์ของเธอถูกวิจารณ์และถกเถียงทั้งในไทยและในต่างประเทศการที่เธอเป็นสตรีผู้ใกล้ชิดคิดกับ
พระมหากษัตริย์อย่างเป็นทางการในลักษณะนี้คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายสิบปีแต่เพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้นทุกอย่างพลิกผันอย่างไม่คาดคิดในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเองพระราชโองการได้ถอดถอนตำแหน่งเจ้าคุณพระและสิทธิทั้งหมดของเธออย่างเป็นทางการโดยให้เหตุผลว่าเธอไม่ซื่อสัตย์และไม่เคารพในวินัยของราชสำนักราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ถ้อยคำที่รุนแรงแงและชัดเจนภาพลักษณ์ของเธอที่เคยถูกยกย่องกลับถูกลดทอนและแทบจะลบเลือน
ในชั่วข้ามคืนนี่ไม่ใช่เพียงการปลดออกจากตำแหน่งหากแต่คือการลบตัวตนออกจากระบบราชการไทยอย่างสมบูรณ์หลายคนตั้งคำถามว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงอะไรคือความผิดพลาดส่วนตัวหรือคือการขัดแย้งภายในที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าคือผลของการยืนอยู่ผิดตำแหน่งในระบบราชสำนักหรือคือผลลัพธ์ของเกมการเมืองภายในที่มีเดิมพันสูงสำหรับผู้สังเกตการต่างประเทศเหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งพร้อมคำถามที่มากขึ้นกว่าเดิมทำไมสตรีคนหนึ่งที่ถูกยกย่อง
ว่าจงรักภักดีและกล้าหาญจึงถูกปลดในลักษณะนั้นและใครคือผู้มีอำนาจในการตัดสินชะตาของเธอแม้ว่าเธอจะเงียบแต่คำถามยังคงดังก้องและแม้ว่าเธอจะถูกกลอบ่อแต่ความทรงจำของผู้คนไม่เคยลบตามในโลกที่ทุกสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายในชั่วพริบตาชีวิตของเจ้าคุณพระศินีน่าจะก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่แน่นอนสตรีที่เคยอยู่บนจุดสูงสุดกลับต้องเผชิญกับการตกต่ำอย่างไม่มีใครคาดคิดแต่เรื่องราวของเธอยังไม่จบเพียงแค่นั้นและบางทีเธออาจกลับ
มาเพื่อเขียนบทใหม่ที่ไม่มีใครกล้าคาดเดาหลังจากเหตุการณ์การถอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี2562ทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบลงสื่อไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสีหน้าตาได้อีกเลยไม่มีภาพไม่มีคำชี้แจงและไม่มีการเคลื่อนไหวใดในที่สาธารณะเป็นช่วงเวลาของสุนญากาศแห่งข้อมูลที่ยาวนานจนเกือบไม่มีใครคาดคิดว่าเธอจะกลับมาแต่ในปี2563มีข่าวเล็ดรอดว่าเธอได้รับพระราชทานอภัยโทษและได้รับการฟื้นฟูสถานะพร้อมคำว่ากลับมา
รับราชการใกล้ชิดแม้ไม่มีแถลงการณ์สื่อสารกับประชาชนอย่างเปิดเผยแต่การกลับมาของเธอก็เริ่มเห็นได้จากพิธีการและภาพถ่ายบางส่วนที่เผยแพร่ผ่านสื่อทางการทว่าการกลับมาครั้งนี้แตกต่างจากการปรากฏตัวครั้งก่อนโดยสิ้นเชิงไม่มีการประกาศไม่มีชีวประวัติใหม่ไม่มีการประชาสัมพันธ์แสดงความสำเร็จแต่กลับเต็มไปด้วยสัญญะที่ต้องตีความสินีน่าจะเริ่มปรากฏตัวในงานพระราชพิธีสำคัญงานพระราชทานเลี้ยงงานรัฐพิธีและแม้กระทั่งบางกิจกรรมของกองทัพที่
เธอเคยมีบทบาทก่อนหน้าทุกท่วงท่าทุกตำแหน่งที่เธอยืนทุกสายตาที่มองเธอล้วนมีความหมายในบริบทของราชสำนักการยืนอยู่ด้านหลังพระมหากษัตริย์ในมุมเฉียงขวาระยะห่างเท่าเดิมถ้าทางสงบสีหน้าที่เรียบเฉยแต่แฝงด้วยความมั่นใจสิ่งเหล่านี้คือถ้อยคำแบบไร้เสียงที่ชัดเจนยิ่งกว่าการแถลงใดๆในราชสำนักไทยพิธีการไม่ได้เป็นเพียงประเพณีแต่คือระบบของภาษาและภาษาพิธีนี้ต้องอาศัยสายตาที่เข้าใจจึงจะสามารถอ่านได้การแต่งกายของเธอในแต่
ละงานถูกออกแบบมาอย่างระมัดระวังสีสันที่เลือกใช้มักสะท้อนถึงความอ่อนโยนจงรักภักดีและความสงบเช่นสีเทาอ่อนสีขาวไข่มุกหรือสีฟ้าระบายทองซึ่งล้วนเป็นสัญลักษณ์ของการกลับสู่ความเมตตาและการฟื้นฟูในบางงานพิธีเธอปรากฏพร้อมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ไม่เคยหายไปจากร่างกายเธอแม้เพียงวันเดียวราวกับว่าเธอไม่เคยถูกถอดถอนจริงๆหรืออาจสะท้อนให้เห็นว่าทุกสิ่งในวังล้วนดำรงอยู่ได้ทั้งในความจริงและในสิ่งที่ประชาชนเชื่อว่าเป็นความ
จริงเธอไม่พูดไม่อธิบายไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆแต่นั่นกลับเป็นภาษาทรงพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าคำพูดในโลกของการเมืองและพิธีการทุกอย่างคือภาพทุกภาพคือการสื่อสารและการสื่อสารที่เฉียบคมที่สุดก็คือการไม่พูดอะไรเลยและนี่เองคือสิ่งที่ทำให้เรื่องราวของเจ้าคุณพระศินีนาฏะกลับมาสั่นสะเทือนความรู้สึกผู้คนอีกครั้งไม่ใช่เพราะคำพูดแต่เพราะเธอยังอยู่อยู่ในตำแหน่งเดิมเงียบงันแต่ชัดเจนในราชสำนักไม่มีสิ่งใดปรากฏโดยปราศจากจังหวะไม่มี
ผู้ใดกลับมาโดยไม่มีบริบทรองรับและไม่มีการเคลื่อนไหวใดที่เกิดขึ้นโดยไร้ความหมายการปรากฏตัวอีกครั้งของเจ้าคุณพระศินีนาฏตะพิราชกัลยาณีจึงไม่อาจมองว่าเป็นเพียงผลจากพระเมตตาหากแต่สะท้อนถึงความซับซ้อนที่อาจยังไม่มีใครถอดรหัสได้อย่างแท้จริงคำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่เธอกลับมาทำไมแต่คือเธอถูกกว้างไว้ที่ใดในระบบที่ซ่อนลำดับไว้อย่างละเอียดอ่อนเช่นนี้บทบาทของเจ้าคุณพระในเวลานี้ดูเหมือนจะอยู่ในตำแหน่งที่สงบนิ่งทางพิธีแต่แฝง
ความเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์การปรากฏตัวในงานพิธีสำคัญสะท้อนว่าเธอยังคงดำรงสถานการณ์ตามกฎหมายและอาจมีหน้าที่ภายในที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะหากมองผ่านเลนของประวัติศาสตร์ราชวงศ์ไทยตำแหน่งเจ้าคุณพระแม้ไม่ได้อยู่ในแนวสืบสันตติวงศ์แต่ก็ถือเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติและมีบทบาทเฉพาะภายในวังการมีบุคคลที่ผ่านการแต่งตั้งถอดถอนและฟื้นฟูอย่างเป็นทางการเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่หายากในประวัติศาสตร์การกลับมาของเธออาจเป็นเพียงการคืนสิทธิ์
ที่เคยถูกลิลอนไปหรืออาจเป็นสัญญาณของความเชื่อมั่นในตัวบุคคลหรืออาจสะท้อนว่าระบบราชสำนักต้องการดุลอำนาจเงียบภายในมากกว่าที่ใครคาดคิดผู้สังเกตการบางกลุ่มมองว่าบทบาทของเจ้าคุณพระอาจไม่ได้อยู่ในแสงไฟหากแต่เป็นเงาที่คอยประคับประคองสมดุลบางประการในวังที่เปราะบางยิ่งขึ้นเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่านแทนที่จะพูดถึงความสัมพันธ์กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งการวิเคราะห์อาจต้องหันไปมองระบบโดยรวมที่เธอเป็นส่วนหนึ่งเธออาจไม่ใช่ม้าหรือเรือ
ที่เคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยบนกระดานแต่เป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่ยังไม่ถูกเดินรอจังหวะที่เหมาะสมเพราะในหมากราชสำนักไทยบางครั้งผู้ที่อยู่นิ่งที่สุดอาจคือผู้ที่สำคัญที่สุดและหากเธอกลับมาเพื่อทำหน้าที่ที่ไม่มีใครมองเห็นนั่นก็คืออีกหนึ่งบทของการดำรงอยู่ที่ไม่จำเป็นต้องประกาศแต่ทรงพลังยิ่งกว่าคำใดเจ้าคุณพระศินีหน้าตาพิราฎกัลยาณีไม่ได้เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งในราชสำนักแต่เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของการมีอยู่และการไม่อยู่ในสังคมที่ความเงียบมีความหมายมาก
กว่าถ้อยคำและความปรากฏอาจซ่อนในมากกว่าการเปิดเผยเมื่อพิจารณาถึงชีวิตของเธอภาพที่เห็นไม่ใช่เพียงการขึ้นสูงหรือการตกต่ำหากแต่คือการถูกเลือกให้กลับมาในบริบทที่สังคมไม่เข้าใจและไม่มีใครกล้าพูดชัดเจนว่าทำไมเธอเคยถูกยกย่องในราชกิจจานุเบกษาอย่างสูงส่งเธอเคยถูกกรดฆ่าในราชกิจจานุเบกษาฉบับถัดมาและเธอก็กลับมาอีกครั้งโดยที่ไม่มีราษฎกิจใดอธิบายนั่นคือความย้อนแย้งของอำนาจที่อาจมองเธอในฐานะเครื่องมือหรือหมุดหมายแห่ง
ยุคสมัยใหม่ของราชสำนักแต่หากมองลึกกว่านั้นบางทีเรื่องราวของเธอกำลังบอกเราว่าในระบบที่เปราะบางที่สุดยังมีที่ยืนสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านพายุหนักหน่วงจนไม่เหลืออะไรจากกลัวสิ่งที่เธอต้องเผชิญไม่ใช่แค่การเสื่อมเสียชื่อเสียงไม่ใช่แค่การตกจากอำนาจแต่คือการถูกลบราวกับไม่มีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์และการกลับมาครั้งนี้ของเธอจึงไม่ใช่แค่การกลับมาเพื่ออยู่ต่อแต่คือการกลับมาเพื่อนิยามตนเองใหม่ภายใต้ระบบที่เธอไม่
มีสิทธิ์โต้แย้งมีคนเคยกล่าวไว้ว่าสิ่งที่ไม่สามารถพูดถึงได้อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในห้องนั้นสินีน่าจะอาจเป็นหนึ่งในสิ่งนั้นไม่พูดไม่ตอบไม่ปฏิเสธและไม่ชี้แจงใดๆแต่การดำรงอยู่ของเธอคือบทสนทนาเงียบที่กำลังก้องกังวาลในใจของผู้คนจำนวนมากบางคนอาจสงสัยว่าเธอยังมีบทบาทอีกหรือไม่บางคนเชื่อว่าเธอคือเงาสะท้อนของระบบที่ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากอดีตและบางคนมองว่าเธอเธอคือผู้ถูกไถ่บาปในแบบฉบับที่สังคมไทยต้องเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า