เจ้าหญิงพัชรกิติยาภาเสด็จกลับเร็วๆ นี้หรือไม่? เผยแผนการต่อไปของราชวงศ์



การหายไปของเจ้าฟ้าผัชรกิตติยาพานานเกินกว่า1,000วันคือช่วงเวลาแห่งความเงียบที่ทั้งประเทศต่างรับรู้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายใดๆจากราชสำนักความเงียบนั้นเปลี่ยนเป็นความกังวลคำถามและการคาดเดาอย่างต่อเนื่องกระทั่งล่าสุดบรรยากาศที่เคยเงียบงันกลับเริ่มขยับเขยื้อนอย่างแผ่วเบาแต่ชัดเจนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพียงแค่ถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการฉบับที่ซึ่งกล่าวถึงพระอาการของพระองค์อย่างระมัดระวังแต่คือสัญญาณความหวังที่แฝง


อยู่ในถ้อยคำเหล่านั้นและการตอบสนองอย่างลึกซึ้งจากประชาชนผู้เฝ้ารอแม้ราชสำนักจะยังไม่มีคำประกาศใดที่ระบุถึงการฟื้นตัวโดยสมบูรณ์แต่แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้จากภายในต่างพูดถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นของพระองค์อย่างต่อเนื่องข่าวที่แม้ไม่ได้ขึ้นพาดหัวแต่กลับทำให้ประชาชนทั้งประเทศรู้สึกเหมือนมีลมหายใจใหม่ที่ถูกปลุกขึ้นอย่างช้าๆคนไทยจำนวนมากเปรียบข่าวนี้เป็นดั่งแสงสว่างเล็กๆท่ามกลางเงามืดของความไม่แน่นอนแสงสว่างที่แม้ยังริบปลรีกแต่ก็


มีพลังมากพอจะปลุกความหวังทั้งชาติคำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่าพระองค์จะเสด็จกลับเมื่อไหรแต่คือทำไมราชสำนักเริ่มขยับในเวลานี้การแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ภายในกองบัญชาการทหารรักษาพระองค์การสลับตำแหน่งของข้าราชบริพารฝ่ายในและการประกาศเกี่ยวกับบทบาทของพระองค์ในระดับเชิงสัญลักษณ์ล้วนบ่งชี้ว่าราชวงศ์อาจกำลังเตรียมแผนสำหรับการฟื้นฟูภาพลักษณ์อย่างเป็นระบบและเจ้าหญิงัชรกิตติยาภาอาจอยู่ในศูนย์กลางของยุทธศาสตร์นั้นเมื่อเฝ้ามองความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิด


ขึ้นไม่อาจมองข้ามความเชื่อมโยงระหว่างความหวังของประชาชนกับยุทธศาสตร์ของราชสำนักความเงียบที่ผ่านมาอาจไม่ใช่ใช่การละเลยแต่คือการรอเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปรากฏตัวใหม่อย่างสง่างามบางครั้งความเงียบก็คือรูปแบบหนึ่งของการเตรียมพร้อมอย่างลึกซึ้งและเมื่อเวลาแห่งความพร้อมมาถึงเสียงของความหวังจะไม่เพียงแต่ดังก้องหากแต่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกทั้งแผ่นดินในทุกระบอบที่ตั้งอยู่บนศรัทธาภาพลักษณ์คือเสาหลักที่ยึดโยง


ความมั่นคงของสถาบันและในห้วงเวลาที่ราชวงศ์ต้องเผชิญกับสายตาของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเจ้าฟ้าพัชรกิตติยากลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ประชาชนต่างฝากความหวังไว้ด้วยพระจริวัฏที่สงบงามสง่าและเต็มเปี่ยมด้วยภารกิจเพื่อสังคมพระองค์ได้สถาปนะตนเองขึ้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความต่อเนื่องของสถาบันที่ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหวแม้ในยามเงียบงั้นที่สุดภายใต้สถานการณ์อ่อนไหวราชสำนักเลือกใช้ความนิ่งเป็นกลยุทธ์หลักในการสื่อสารเป็นความนิ่งที่มีได้ว่างเปล่าแต่


เต็มไปด้วยการบริหารจัดการภาพลักษณ์อย่างละเอียดลึกซึ้งถ้อยคำในแถลงการณ์ถูกคัดสรรด้วยความระมัดระวังมีทั้งความหวังความกรุณาและการสงวนท่าทีที่สะท้อนถึงความละเอียดอ่อนทางจิตวิญญาณของสถาบันที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและนี่เองที่ทำให้ภาพของเจ้าฟ้าหญิงกลายเป็นสะพานแห่งความรู้สึกระหว่างประชาชนกับราชวงศ์แม้จะห่างหายจากสาธารณะมายาวนานแต่ภาพลักษณ์ของเจ้าฟ้าพัชรกิตติยาพากลับไม่ได้ถูกลบเลือนไปตรงกันข้ามมันยิ่งเข้มแข็ง


ขึ้นผ่านการระลึกถึงความห่วงใยและการส่งต่อเรื่องราวดีงามของพระองค์ในสื่อสังคมออนไลน์พระองค์ไม่ใช่เพียงแค่เชื้อพระวงแต่เป็นนักกฎหมายนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีและข้าราชการฝ่ายทหารที่ได้รับการฝึกฝนในมาตรฐานฐานระดับสากลทุกบทบาทล้วนบ่งบอกถึงความพร้อมและความมั่นคงในตัวบุคคลและหากพระองค์เสด็จกลับสู่บทบาทสาธารณะไม่ว่าจะในรูปแบบใดนั้นย่อมไม่ใช่เพียงการปรากฏตัวของเจ้าฟ้าหญิงผู้หนึ่งแต่คือการฟื้นฟูพลังศรัทธาให้กับราชสำนัก


และสร้างหลักประกันใหม่แห่งความมั่นคงต่ออนาคตของสถาบันความมั่นคงที่ไม่ได้มาจากคำประกาศใดๆหากแต่มาจากความผูกพันทางจิตใจของประชาชนผู้เฝ้ารออย่างแน่นแฟ้นเมื่อกระแสข่าวเริ่มเปลี่ยนจากความกังวลเป็นความหวังคำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือหากเจ้าฟ้าพัชรกิตติยาพระกำลังฟื้นตัวจริงการกลับมาสู่เวทีสาธารณะของพระองค์จะเป็นไปในทิศทางใดและเมื่อใดแม้ยังไม่มีการประกาศวันเวลาที่แน่ชัดแต่การเตรียมพร้อมของราชสำนักและการเคลื่อนไหวทางพิธีโปรต


เป็นคำตอบที่ไม่ต้องใช้ถ้อยคำการกลับมาในบริบทของเจ้าฟ้าหญิงจะต้องถูกวางแผนอย่างรอบคอบไม่เพียงเพื่อพระพลานามัยเท่านั้นแต่เพื่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์และความรู้สึกของประชาชนที่ผูกพันกับพระองค์อย่างลึกซึ้งโดยทั่วไปแล้วเราอาจได้เห็นพระองค์ในกิจกรรมที่เน้นความสงบเรียบง่ายแตกเปลี่ยมด้วยความหมายเช่นงานการกุศลการเยี่ยมเยียนผู้ได้โอกาสหรืองานรำลึกทางศาสนาซึ่งเป็นบริบทที่สอดคล้องกับพระจริยวัตของพระองค์มาตลอดกิจกรรมทางสังคม


ของเจ้าฟ้าัชรกิตติยาภาในอดีตล้วนแสดงถึงความใส่ใจในกลุ่มคนที่เปรอบบางในสังคมไม่ว่าจะเป็นโครงการช่วยเหลือผู้ต้องขังหญิงการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนหรือการสนับสนุนความเสมอภาคทางเพศพระองค์เป็นเจ้าฟ้าหญิงที่ไม่ได้ปกครองจากเบื้องบนแต่เลือกที่จะอยู่ใกล้ประชาชนเดินเคียงข้างความทุกข์ยากและสื่อด้วยหัวใจแทนราชโองการการกลับมาของพระองค์จึงไม่ใช่เพียงการปรากฏตัวหากแต่เป็นการสานต่อภารกิจที่ยังค้างคาเป็นการเติมเต็มความผูกพันที่ไม่เคยจาง


หายของประชาชนผู้เฝ้ารอเสียงแห่งความหวังจะไม่เพียงเป็นเสียงต้อนรับหากแต่คือแรงกระตุ้นใหม่ให้สถาบันก้าวเดินอย่างมั่นคงบนหนทางที่มีผู้คนร่วมฝันและร่วมศรัทธาความเงียบที่ยาวนานจากราชสำนักในช่วงเจ้าฟ้าพัชรกิตติยาผาทรงประชวนนั้นแม้จะก่อให้เกิดคำถามในสังคมแต่ในอีกแง่หนึ่งมันกลับกลายเป็นพื้นที่แห่งการสะสมพลังศรัทธารูปแบบใหม่การที่ประชาชนยังคงกล่าวถึงพระองค์ด้วยความรักและความห่วงใยโดยปราศจากภาพถ่ายหรือถ้อยแถลงใดๆในช่วงหลาย


เดือนแรกแสดงให้เห็นถึงพลังของความเชื่อมโยงที่ไม่ได้อาศัยเพียงแค่สื่อหรือการประชาสัมพันธ์หากแต่อย่างรากอยู่ในความทรงจำร่วมและประสบการณ์ที่ประชาชนมีต่อพระองค์เมื่อเวลาผ่านไปเสียงเรียกร้องถึงการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้นเริ่มดังขึ้นพร้อมๆกับการเคลื่อนไหวของสื่อทางเลือกและโซเชียลมีเดียแต่สิ่งที่น่าสังเกตคือความสนใจนั้นไม่ได้กลายเป็นการตั้งคำถามต่อความชอบธรรมของราชวงศ์ตรงกันข้ามกลับเป็นแรงสนับสนุนอย่างลึกซึ้งที่มีต่อเจ้า


ฟ้าหญิงและโดยขยายผลไปถึงสถาบันโดยรวมนี่คือความขัดแย้งที่น่าสนใจในทางสังคมวิทยายิ่งพระองค์เงียบงันประชาชนกลับยิ่งพูดถึงด้วยความเข้าใจและเห็นใจภาพลักษณ์ของราชวงศ์ในช่วงเวลานี้จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดอ่อนจากสถาบันที่ห่างไกลกลายเป็นสถาบันที่กำลังต่อสู้ร่วมกับประชาชนในเงื่อนไขของชีวิตความเปราะบางทางกายภาพของเจ้าฟ้าหญิงไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของพระองค์ลดน้อยลงแต่กลับกลายเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจมีความหวังมีความกล้าหาญและสิ่ง


นั้นเองที่เชื่อมโยงกับหัวใจของประชาชนในแบบที่ไม่มีคำปราศรัยใดทำได้หลายคนเปรียบสถานการณ์นี้กับช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนในอดีตของราชวงศ์ที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือแต่ในท้ายที่สุดสถาบันก็สามารถฝ่าฝันผ่านบททดสอบต่างๆด้วยพลังแห่งความสงบเย็นและความเชื่อมั่นในระบบคุณค่าแบบไทยดั้งเดิมและครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ต่างกันเท่าไหรนักเพียงแต่พลังศรัทธาในครั้งนี้มาจากหัวใจที่เปล่งแสงในเงามืดโดยไม่ต้องมีใครจุดไฟให้กระแสข่าวเชิงบวก


เกี่ยวกับการฟื้นตัวของเจ้าฟ้าพัชรกิตติยาภาไม่เพียงแต่ทำให้ประชาชนทั่วประเทศรู้สึกโล่งใจหากยังส่งผลต่อการประเมินภาพรวมของราชวงศ์ในระดับลึกความหวังที่ค่อยๆก่อตัวจากคำพูดเพียงไม่กี่บรรทัดในแถลงการณ์กลายเป็นประเด็นที่สังคมเริ่มพูดถึงด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและเชื่อมโยงไม่ใช่แค่ด้วยความหวังในสุขภาพของพระองค์เท่านั้นแต่ยังรวมถึงความเชื่อมั่นว่าการกลับมาของพระองค์จะเป็นจุดเปลี่ยนของยุคสมัยนักวิเคราะห์หลายคนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าหาก


พระองค์สามารถเสด็จกลับมาทำหน้าที่สาธารณะได้ในอนาคตอันใกล้กระบวนการฟื้นฟูภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของราชวงศ์อาจได้รับแรงส่งอย่างมีในสำคัญเจ้าฟ้าพัชรกิตติยาภาไม่เพียงแต่มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดในฐานะพระราชธิดาแต่ยังมีประวัติส่วนพระองค์ที่แสดงถึงความสามารถความเสียสละและความตั้งใจในการทำงานเพื่อประชาชนทั้งในบทบาทด้านกฎหมายการทูตการทหารและสิทธิมนุษยชนพระองค์จึงไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของความต่อเนื่องหากแต่เป็น


รากฐานของภาพลักษณ์ราชวงศ์ในยุคใหม่ในบริบทที่การสืบสันตติวงกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากทั้งในประเทศและนานาชาติการปรากฏตัวอีกครั้งของพระองค์ย่อมมีน้ำหนักทางสัญลักษณ์สูงมากพระองค์ไม่เพียงเป็นผู้สืบสายพระโลหิตที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแต่ยังเป็นบุคคลที่ได้รับความรักความศรัทธาและความคาดหวังจากประชาชนในฐานะเจ้าหญิงของยุคสมัยใหม่การกลับมาของพระองค์อาจกลายเป็นโมเมนใหม่ที่ราชสำนักสามารถใช้เพื่อยืนยันถึงความ


เกี่ยวโยงของสถาบันกับประชาชนในโลกที่เปลี่ยนแปลงหากอนาคตของราชวงศ์คือบทต่อไปที่ยังไม่มีใครเขียนความหวังที่กำลังค่อยๆก่อตัวจากเจ้าฟ้าัชรกิตติยาภาอาจเป็นหมึกหยดแรกที่สถิตอยู่บนหน้ากระดาษนั้นและไม่ว่าจะเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใดมันก็ชัดเจนแล้วว่าความผูกพันระหว่างประชาชนไทยกับราชวงศ์ยังไม่เคยหายไปเพียงแต่รอเวลาให้แสงสว่างกลับมาอีกครั้งในชื่อของศรัทธาในพระราชวังที่ดูเงียบงันไม่มีเสียงของงานพระราชพิธีไม่มีภาพถ่ายใหม่ของเจ้าฟ้า


ไม่มีถ้อยคำประกาศถึงการเสด็จกลับมาแต่ในความเงียบนั้นมีบางสิ่งยังคงเคลื่อนไหวคือศรัทธาของประชาชนคือคำภาวนาเงียบๆทุกเช้าคือสายตาที่เฝ้ามองพระเมรุกลับไปยังพระตำหนักคือความเชื่อที่ว่าวันหนึ่งเธอจะกลับมาไม่จำเป็นต้องสมบูแบบไม่จำเป็นต้องแข็งแรงที่สุดแต่กลับมาอย่างที่เคยเป็นผู้หญิงธรรมดาผู้แบกภาระไม่ธรรมดาและบางทีราชวงศ์ไทยไม่ได้ต้องการเพียงผู้นำที่ทรงอำนาจแต่อาจต้องการใครสักคนที่ประชาชนรู้สึกถึงเจ้าฟ้าหญิงผู้เป็นมาก


กว่าพระบรมวงศ์คือสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญความเปราะบางและความเป็นมนุษย์ในโลกของราชาเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเหนือพระที่นั่งจักรีทุกเช้าความหวังใหม่ก็สาดส่องลงบนบัลลังก์อีกครั้งไม่ใช่เพราะมีราชสั่งแต่เพราะหัวใจของประชาชนยังคงเต้นเป็นจังหวะเดียวกับเจ้าฟ้าหญิงของเขาและแม้เราจะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าเจ้าฟ้าพัชรกิตติยาพาจะเสด็จกลับเมื่อใดแต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือหัวใจของประชาชนยังคงเฝ้ารอเงียบๆด้วยศรัทธาที่ไม่เคยหายไป


แว้งลึกคืออังชนจะยังคงติดตามทุกสัญญาณทุกประกายแห่งความหวังและจะถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ด้วยความเคารพและเมียดละไมและซื่อตรงต่อความจริงเพราะเราเชื่อว่าบางครั้งความเงียบก็ยิ่งใหญ่กว่าคำประกาศและบางครั้งเจ้าหญิงในเงามืดก็อาจเป็นแสงแรกของราชสำนักในยุคใหม่