ปากกัดตีนถีบอดีตนักร้องดังทั้งป่วยหนักทั้งหากิน[เพลง]ลำบากแฟนเพลงลูกทุ่งในอดีตคงจำได้ว่าครั้งหนึ่งมีนักร้องดังที่ใช้ชื่อว่านางสาวมลิวันซึ่งโด่งดังเป็นที่รู้จักจากเพลงคิดฮอดจังเลยคืนหนึ่งวงจันตระการแสงจ้าเฮาสงสัญญาต่อกันหักมันบ่กลาสั่งคนหลายใจธรรมชาติเมืองสุย2ฝั่งโคงเป็นต้นในยุคนั้นมีคนไม่น้อยเข้าใจว่านางสาวมลิวรรณเป็นนักร้องที่มาจากประเทศลาวเพราะมีการนำเสนอภาพศิลปินออกมาแบบนั้นต่อมาก็เป็นที่รับทราบว่าเธอเป็นคน
ไทยในเวลาต่อมานางสาวมลิวันได้เปลี่ยนชื่อนักร้องเป็นเอ๋สมสกุลมีผลงานเพลงเด่นๆเช่นนับนิ้วคอยผลงานการแต่งของครูเทพพรเพชรอุบลซึ่งเพลงนี้บุญตาเมืองใหม่นักร้องยุคต่อมาได้นำมาขับร้องอีกครั้งนางสาวมลิวันหรือเอ๋สมสกุลมีชื่อจริงว่าสมสกุลหอมภูงาปัจจุบันเปลี่ยนเป็นนางสมสกุลสีตาแสนมีชื่อเล่นว่าเอ๋เกิดเมื่อวันที่10กุมภาพันธ์ปี2505เป็นลูกคนที่4ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด6คนของคุณพ่อเข็มคุณแม่คำเป้าหอมภูงาบ้านเกิดของเธอคือตำบลจุมพลอำเภอโพนพิสัยจังหวัด
หนองคายเธอเกิดในครอบครัวยากจนเหมือนนักร้องดังหลายคนในอดีตจึงต้องลำบากดิ้นรนช่วยครอบครัวด้วยการหาบผักขายหาเงินเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็กในขณะเดียวกันเธอก็มีใจรักเสียงเพลงชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเพลงที่เธอหัดร้องยาวนั้นก็มีเพลงแว่วเสียงซึงของเรียมดาราน้อยเพลงด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋าของเสียงทิพย์ปทุมทองทิ้งนาลืมทุ่งของพุมพวงดวงจันทร์ซึ่ง2เพลงหลังนี้เด็กหญิงเอสมสกุลใช้เป็นเพลงไม้ตายเวลาขึ้นประกวดร้องเพลงเธอเริ่มต้น
ชีวิตนักร้องด้วยการเป็นนักร้องประกวดมาตั้งแต่ตอนเรียนหนังสือชั้นป1ที่โรงเรียนบ้านจอมนางโดยตระเวนประกวดตามเวทีตามงานเทศกาลต่างๆในละแวกนั้นและก็คว้ารางวัลชนะเลิศมาเพียบรางวัลหนึ่งที่เธอประทับใจยิ่งก็คือตอนที่เธอเรียนชั้นป5ที่โรงเรียนจุมพลอำเภอพลพิสัยเธอคว้ารางวัลชนะเลิศที่สถานีตำรวจภูธรพพลพิสัยในยามนั้นมีผู้กองคนหนึ่งชื่อวิรัตซึ่งใจดีชื่อชอบความสามารถของเด็กหญิงเอ๋จึงส่งเสริมเธอด้วยการพาไปร้องโชว์ตัวตามงาน
ต่างๆของจังหวัดหนองคายเมื่อเด็กหญิงเอ๋สมสกุลเห็นว่าร้องเพลงแล้วมีรายได้แต่ยามไปโรงเรียนต้องใช้เงินความที่ครอบครัวของเธอยังยากลำบากเธอจึงตัดสินใจออกจากโรงเรียนเพื่อมาร้องเพลงเป็นหลักโดยมุ่งเป้าไปปักหลักที่จังหวัดอุดรธานีซึ่งมีช่องทางให้ร้องเพลงมากกว่าเธอไปขออาศัยอยู่กับพี่สาวคนที่3ซึ่งมีบ้านอยู่ที่อุดรธานีและมีฐานะเป็นถึงสะใภ้นายพลช่วงนั้นเอสมสกุลอายุย่าง13ปีแล้วเธอประเดิมร้องเพลงที่ห้องอาหารสระน้ำพาราไดส์ร้องอยู่ที่นั่นไม่กี่เดือนวง
ดนตรีสายันสัญญาก็ไปแสดงที่โรงหนังเฉลิมวัฒนาอุดรธานีเอ๋สมสกุลมีโอกาสได้ไปเจอกับพี่เป้าสายันที่นั่นซึ่งเมื่อได้เจอกันพี่เป้าสายันก็ให้ความเอ็นดูและเมตตารับเธอเข้าไว้ในวงพร้อมทั้งตั้งชื่อนักร้องให้เธอว่าสมชีวรสัญญาชีวิตนักร้องแบบมืออาชีพของเธอจึงเริ่มต้นจริงจังในคราวนั้นสมชีวันสัญญาหรือเอสมสกุลเดินสายร้องเพลงอยู่กับวงพี่เป้าสายันได้ราวๆปีกว่าความที่เธอยังเด็กก็เกิดคิดถึงบ้านอย่างหนักถึงขั้นทนไม่ไหวจนต้องแอบหนีจาก
วงแล้วกลับบ้านเกิดจากนั้นก็ไปก่ออาศัยกับพี่สาวคนเดิมที่อุดรธานีอยู่ที่อุดรได้3-4ปีเธอเริ่มโตเป็นสาวสะพรั่งและได้พบรักกับนายธนาคารหนุ่มทั้งสองรักใคร่ชอบพอกันถึงขั้นตกลงใจจะแต่งงานกันแต่สุดท้ายทางผู้ใหญ่ของฝ่ายชายตั้งข้อรังเกียจว่าเอ๋มีอาชีพเต้นกินรำกินเป็นนักร้องถึงขนาดยื่นคำขาดกับฝ่ายชายว่าห้ามไม่ให้ติดต่อกับฝ่ายหญิงอีกไม่งั้นจะไม่ให้เขาใช้นามสกุลร่วมตระกูลเอ๋สมสกุลในวัย18ปีรู้สึกปวดร้าวทั้งที่ยังรักฝ่ายชายมากและ
ยังงงๆว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอก็ตัดสินใจเลิกกับเขาเพราะไม่อยากให้คนรักต้องแตกแยกกับครอบครัวฝ่ายชายก็เสียใจมากจนตัดสินใจไปบวชเอ๋สมสกุลหักอกหักใจพาตัวเองเข้าสู่เมืองกรุงเพราะหากยังอยู่อุดรเหมือนเดิมก็ยากที่จะลืมรักที่ปวดใจคราวนี้เธอเริ่มต้นร้องเพลงที่ห้องอาหารตาลเดี่ยวของวงจันทร์ไพโรจนนักร้องชื่อดังที่นี่เองเธอได้รู้จักกับครูสมบัติบุญศิรินักร้องนักแต่งเพลงที่ชอบน้ำเสียงของเธอและนำไปสู่การได้เป็นนักร้องอัด
แผ่นครั้งแรกของเอ๋สมสกุลนั่นคือชุดสาวอีสานคอยอ้ายโดยใช้ชื่อนักร้องว่าสมชีวรขวัญราชเพลงชุดนี้ยังไม่เข้าเป้าเท่าที่ควรต่อมาเอสมสกุลก็ได้มีผลงานชุดที่2ซึ่งชุดนี้เองที่แจ้งเกิดให้เธออย่างสวยงามโดยทางผู้ผลิตให้เธอใช้ชื่อนักร้องว่านางสาวลีวันมีเพลงเด่นๆเช่นคิดฮอดจังเลยบ้านแม้วธรรมชาติเมืองสุยว่ากันว่ากลยุทธ์การโปรโมทเพลงชุดนี้ใช้วิธีสร้างสตอรี่ว่านางสาวมลิวันเป็นนักร้องที่ข้ามจากฝั่งโค้งประเทศลาวมาร้องเพลงที่ประเทศ
ไทยปรากฏว่าชื่อของนางสาวมลิวันโด่งดังจากเพลงคิดฮอดจังเลยเป็นอย่างยิ่งเดือนอ้ายเดือนยปใกันเล่าโดนแล้วแม่เงาบ่เคยหันกลับมาต่อมานางสาวมวได้มีผลงานเพลงอื่นๆตามมาเช่นชุดส้มตำหน้าปั๊มและชุดอื่นๆส้มตำหน้าปั๊มยามค่ำจอกมโครแม้นางสาวมลิวันเป็นนักร้องอัดแผ่นแล้วแต่เธอก็ยังรับร้องเพลงตามห้องอาหารอยู่หลายที่ยุคหนึ่งจัดว่าเธอเป็นขวัญใจของคอเพลงยามราตรีต่อมาชื่อเสียงและผลงานของเธอก็ค่อยๆห่างหายและว่างเว้นจากการออกผลงานเพลงใหม่ๆเนิ
นานผ่านไปนางสาวมลิวรรณได้หวนกลับมาทำเพลงอีกครั้งในชื่อนักร้องว่าเอ๋สมสกุลโดยโดยมีผลงานเพลงกับค่ายRSเช่นชุดนับนิ้วคอยเป็นต้นมีเพลงเพราะๆที่เอ๋สมสกุลร้องไว้หลายเพลงต่อมาเอ๋สมสกุลก็ห่างหายไปจากวงการเพลงอยู่หลายปีและมีข่าวออกมาว่าชะตาเธอพลิกผันชีวิตค่อนข้างลำบากต้องปากกัดตีนถีบอาศัยร้องรำตามตลาดนัดเพื่อขอทาน้ำใจจากผู้คนให้ได้มาซึ่งเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเองและครอบครัวข่าวที่น่าชวนเห็นใจยิ่งก็คือเมื่อเดือนกรกฎาคม
ปี2560เอ๋สมสกุลหรือนางสาวมลิวรรณมีอาการเจ็บป่วยกระทันหันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไชยวาลแพทย์วินิฉัยเบื้องต้นพบอาการน้ำท่วมปอดจึงได้ใส่ท่อช่วยหายใจจากนั้นก็ส่งตัวเธอไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอุดรธานีและนอนรักษาตัวที่นั่นประมาณ1สัปดาห์อาการค่อยๆดีขึ้นแพทย์จึงถอดท่อช่วยหายใจและลงความเห็นว่าเธอป่วยเป็นโรคไตวายระยะที่5และแนะนำให้เธอฟอกไตแต่ทางครอบครัวของเธอติดปัญหาเรื่องทุนทรัพย์นางสาวมลิวันจึงปฏิเสธการฟอกไตหันมาใช้วิธีรักษาตามอาการโดยต้องเข้าออก
โรงพยาบาลเดือนละ4-5ครั้งเพื่อให้เลือดและอาการของเธอก็ทรุดลงเรื่อยๆต่อมาในช่วงปลายๆปี2562รายการชีวิตจริงยิ่งกว่าละครของไยPBSก็ได้นำเสนอชีวิตที่ยากลำบากของเธอในชื่อตอนว่าเพลงรักษาใจโดยฉายภาพเรื่องราวของนักร้องผู้ป่วยหนักแต่รักษาใจด้วยการร้องเพลงมีแฟนเพลงที่ได้รับชมรายการทั้งแบบสดๆและแบบออนไลน์แสดงความเห็นใจเธออย่างมากมายปัจจุบันนี้นางสาวมลิวรรณหรือเอสมสกุลในวัย63ปีก็ยังต้องต้องอยู่กับโรคภัยและชีวิตที่ไม่
สบายนักท่านใดที่เมตตาอยากช่วยเหลือเป็นกำลังใจให้เธอรักษาตัวและดำรงชีวิตสามารถอนเงินช่วยเหลือได้ตามช่องทางที่เราปักหมุดไว้ในคอมเมนต์แรกนะครับเป็นบัญชีของเจ้าตัวเองและทางเราก็ขออนุโมทนากับท่านผู้ใจบุญมาณโอกาสนี้ด้วยครับขอส่งกำลังใจให้คุณแม่เอ๋สมสกุลและครอบครัวเข้มแข็งมีพลังมีความสุขในการใช้ชีวิตทุกวันนะครับนี่คืออีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์วงการเพลงลูกทุ่งไทยนางสาวมลิวรรณหรือเอ๋สมสกุลคืนหนวงจันประการแสง